เมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.) นายเอ (นามสมมุติ) วัย 86 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งในอดีต ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี หลังจากถูกกลุ่มมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงด้วยวิธีการคลาสสิกให้โอนเงินจำนวนใหญ่ไปยังบัญชีธนาคารปลายทาง
เบื้องหลังการถูกหลอกลวง
นายเอเปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีชายคนหนึ่งโทรศัพท์หาเขาโดยอ้างตนเป็นตำรวจยศรองผู้กำกับจาก สภ.เมืองสุรินทร์ บอกกับเขาว่าบัญชีธนาคารของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย และให้โอนเงินในบัญชีมาให้ตรวจสอบ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี แต่หากไม่มีความผิด เงินจะถูกส่งคืนพร้อมเงินชดเชย
วิธีการหลอกลวง
- อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงภาพวิดีโอคอลแต่งชุดเครื่องแบบ
- บอกให้โอนเงินในบัญชีมาตรวจสอบเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย
- สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการแจ้งยอดเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีของนายเอ
- ขอให้โอนเงินไปยังบัญชีปลายทาง โดยอ้างว่าจะส่งคืนพร้อมเงินชดเชยหากไม่มีความผิด
ผลที่ตามมา
นายเอหลงเชื่อและโอนเงินจำนวน 855,000 บาท ซึ่งเป็นเงินออมของเขาไปยังบัญชีที่ระบุ หลังจากนั้น ผู้ก่อเหตุยังพยายามหลอกให้นายเอนำทองคำที่มีอยู่ไปขายและโอนเงินมาให้ด้วย แต่นายเอเริ่มสงสัยและไม่ยอมทำตามคำสั่ง จึงรีบไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คำเตือนจากผู้เสียหาย
นายเอฝากข้อคิดไว้ว่า “เวรกรรมมันมีจริง เดี๋ยวมันก็ตามทันอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกเลย” ทางสถานีตำรวจยังระบุว่า ในวันเดียวกันนั้นมีผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงลักษณะนี้อีกกว่า 10 ราย รวมถึงนักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ถูกหลอกให้โอนเงินไปกว่า 1 ล้านบาท
สรุป
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ที่มีความซับซ้อนและน่าเชื่อถือมากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนจะต้องระมัดระวังและไม่หลงเชื่อบุคคลแปลกหน้าที่ขอโอนเงินไม่ว่ากรณีใดๆ